เมื่อเปิดดูผลการสำรวจของสถานการณ์โรคเอดส์ในไทย พบว่า มีผู้ติดเชื้อรายใหม่เพิ่มขึ้นปีละ 9,000-10,000 คน สาเหตุของการติดเชื้อร้อยละ 85 มาจากการมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ใช้ถุงยางอนามัยในการป้องกัน ส่วนกลุ่มที่มีการติดเชื้อมากที่สุด หากไม่นับการใช้เข็มฉีดยาร่วมกันแล้ว กลุ่มชายที่มีเพศสัมพันธ์กับชายยังคงครองแชมป์การติดเชื้อมากที่สุด และถือเป็นกลุ่มเสี่ยงที่ต้องระวังมากที่สุด
แม้จะมีการรณรงค์ว่า “เอดส์ รู้เร็ว รักษาได้” แต่ผู้ป่วยเอดส์หลายคนต้องเผชิญกับความรังเกียจเดียดฉันท์จากสังคมบางกลุ่มอยู่ไม่น้อย ทั้งๆ ที่ในความเป็นจริง การรับประทานอาหารร่วมกัน, โดยสารยานพาหนะด้วยกัน, พูดคุย สัมผัส หรือโอบกอดกัน, การใช้โทรศัพท์ร่วมกัน, ว่ายน้ำในสระหรือคลองเดียวกัน, ทำงานร่วมกัน, อยู่บ้านเดียวกัน รวมไปถึงการถูกกัดโดยยุงหรือแมลงตัวเดียวกันจะไม่ทำให้ติดเชื้อเอชไอวี แต่ก็ยากที่จะรับได้อยู่ดี
ดังนั้น ไม่ว่าจะมีเพศสัมพันธ์ทางใดก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นทางช่องคลอด ทางทวารหนัก หรือแม้แต่ทางปากหรือออรัลเซ็กซ์ เรื่องนี้ พญ.นิตยา ภานุภาค พึ่งพาพงศ์ แพทย์ประจำศูนย์วิจัยโรคเอดส์ สภากาชาดไทย ได้เคยแนะนำเอาไว้ด้วยความเป็นห่วงว่า ควรที่จะมาตรวจเชื้อหาเอชไอวี โดยเฉพาะกลุ่มชายที่มีเพศสัมพันธ์กับชาย ซึ่งมีการร่วมรักกันผ่านทางทวารหนัก เพราะมีโอกาสติดเชื้อเอชไอวีมากกว่าการมีเพศสัมพันธ์ทางช่องคลอดในผู้หญิงถึง 10 เท่า เนื่องจากทวารหนักมีความเปราะบางกว่าช่องคลอด
แม้ฝ่ายรุกที่ไม่ติดเชื้อจะมีโอกาสติดเชื้อเอชไอวีน้อยกว่า แต่ใช่ว่าจะไม่มีโอกาสติดเชื้อเลย ดังนั้น การป้องกันยังคงเป็นสิ่งสำคัญและจำเป็น ซึ่งพื้นฐานในการป้องกันคือการใส่ถุงยางอนามัยทุกครั้งที่มีเพศสัมพันธ์จะสามารถช่วยป้องกันโรคได้ และอีกแนวทางหนึ่งที่มีผลการศึกษาชัดเจนแล้วว่า การรักษาด้วยการรับยาต้านไวรัส สามารถป้องกันการแพร่เชื้อเอชไอวีได้ ไม่ว่าจะเป็นจากแม่ไปสู่ลูก หรือจากคู่รักไปสู่คู่รัก
โรคเอดส์ เป็นเรื่องละเอียดอ่อน และเฉพาะตัว หลายเรื่องยังต้องเร่งแก้ไข ทั้งภูมิความรู้ความเข้าใจโรคเอดส์ของคนไทย รวมไปถึงทัศนคติที่ไม่ดีกับผู้ติดเชื้อเอชไอวี เช่น โรคเอดส์เป็นแล้วต้องตาย หรือผู้ที่ติดเชื้อเป็นคนไม่ดี ทว่าในความจริงแล้วพฤติกรรมที่นำไปสู่การติดเชื้อ แม้คนดีหรือคนที่ไม่รู้เรื่องก็สามารถติดเชื้อได้ เช่น แม่บ้านติดเชื้อจากสามีสุดที่รัก หรือแม้กระทั่งติดไปถึงตัวลูกในครรภ์